FBS ก้าวเข้าสู่ปีที่ 16

ปลดล็อกของรางวัลวันเกิด: ตั้งแต่แก็ดเจ็ตและรถในฝันไปจนถึงทริป VIPเรียนรู้เพิ่มเติม
เปิดบัญชี
เปิดบัญชีล็อกอิน
เปิดบัญชี

27 มิ.ย. 2024

พื้นฐาน

วิกฤตเศรษฐกิจ: 5 วิกฤตการเงินสะท้านโลก

Back.png

วิกฤตการเงินได้สร้างปัญหาใหญ่ให้กับเศรษฐกิจโลกมานานหลายปี ทำให้หลายประเทศและประชาชนต่างได้รับความเสียหาย บทความนี้จะนำเสนอ 5 วิกฤตการเงินครั้งสำคัญที่ส่งผลกระทบทั่วโลก เหตุการณ์นี้แต่ละครั้งจะเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจและนโยบาย และแสดงให้เห็นจุดแข็งและจุดอ่อนของระบบเศรษฐกิจ ในช่วงวิกฤติเหล่านี้ การซื้อขายฟอเร็กซ์ได้ช่วยให้ผู้คนสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนและสร้างรายได้จากการเปลี่ยนแปลงในตลาดได้

ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในยุค 1930 (The Great Depression)

1.png
ดัชนีราคาหุ้นนิวยอร์ก

หนึ่งในวิกฤตเศรษฐกิจครั้งรุนแรงและส่งผลกระทบมากที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่คือภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในยุค 1930 วิกฤตินี้ได้เกิดจากการที่ราคาหุ้นบนวอลล์สตรีทนั้นตกต่ำ และได้ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ได้เกิดขึ้นระหว่างปี 1929 จนถึงปี 1939 ซึ่งเป็นช่วงที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เริ่มต้นขึ้น ในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ ผู้คนมากมายทั่วทุกมุมโลกต่างตกงาน ธุรกิจหลายแห่งได้ปิดตัวลง และการค้าโลกก็ลดน้อยลงมาก ในขณะที่ผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจแพร่กระจายไปทั่วทวีปต่าง ๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อทุกคน ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ได้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของเศรษฐกิจโลก

2.png
อัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่

ก่อนที่ตลาดหุ้นจะล่มสลายในยุค 1920 เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้เติบโตอย่างรวดเร็ว และทศวรรษดังกล่าวได้รับฉายาว่า "the Roaring Twenties" ระหว่างปี 1920 ถึง 1929 ความมั่งคั่งของประเทศได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 100% เนื่องมาจากการพัฒนาอุตสาหกรรมและการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของประชาชน แต่ภายใต้ความเจริญรุ่งเรืองทั้งหมดนี้กลับมีความเสี่ยงแฝงอยู่ที่ในไม่ช้าอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ กิจกรรมทางการเงินหลักที่เป็นจุดสนใจในยุค 1920 คือตลาดหลักทรัพย์วอลล์สตรีทในนครนิวยอร์ก ผู้คนทุกประเภทตั้งแต่นักลงทุนผู้ร่ำรวยไปจนถึงคนงานประจำต่างก็ลงทุนเงินออมของตนในหุ้น ซึ่งเป็นเหตุให้ราคาหุ้นเติบโตสูงมาก แต่ราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากการผลิต ผู้คนได้เริ่มตกงาน ราคาหุ้นที่ไม่ได้เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจริงนี้ในที่สุดก็ร่วงลงมา

วิกฤตหนี้สาธารณะในละตินอเมริกาในยุค 1980s (The International Debt Crisis)

3.png
% การถ่ายโอนทรัพยากรของ GDP ใน LATAM

ในยุค 1980 ละตินอเมริกาได้เผชิญกับปัญหาหนี้สินครั้งใหญ่ เนื่องจากพวกเขาได้กู้ยืมเงินมามากเกินไป และผู้ให้กู้ก็ไม่ระมัดระวังในการให้กู้ยืม ในยุค 1970 ประเทศต่าง ๆ ในละตินอเมริกาได้กู้ยืมเงินจำนวนมากจากธนาคารในสหรัฐฯ และผู้ให้กู้รายอื่น ๆ จนทำให้เกิดหนี้สินจำนวนมหาศาล ด้วยความที่ผู้ให้กู้ไม่ระมัดระวังในการให้กู้ยืม ส่วนละตินอเมริกาเองก็กู้ยืมเงินมากเกินไป จึงส่งผลให้เกิดปัญหาใหญ่ในยุค 1980 ภายในสิ้นปี 1978 หนี้สินได้เพิ่มขึ้นจาก 29,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 159,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และภายในปี 1982 หนี้สินได้เพิ่มขึ้นเป็น 327,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

วิกฤตได้เริ่มต้นขึ้นในเดือนสิงหาคมของปีนั้น เมื่อเม็กซิโกประกาศว่าไม่สามารถชำระหนี้ 80,000 ล้านดอลลาร์ให้กับธนาคารกลางสหรัฐได้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปยังหลายประเทศในละตินอเมริกา ซึ่งส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ ประกาศผิดนัดชำระหนี้

หลังเกิดวิกฤติ ธนาคารหลายแห่งได้พยายามจำกัดความเสียหายด้วยการหยุดการให้สินเชื่อใหม่และพยายามแก้ไขสินเชื่อที่มีอยู่แล้ว แต่จู่ๆ การสูญเสียเงินทุนก็ทำให้เกิดปัญหาใหญ่หลวงแก่หลายประเทศในละตินอเมริกา ซึ่งนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง และแสดงให้เห็นถึงข้อบกพร่องในนโยบายเศรษฐกิจของพวกเขา วิกฤตดังกล่าวได้แสดงให้เห็นว่าตลาดที่กำลังพัฒนานั้นมีความเปราะบางเพียงใด และทำให้เห็นชัดว่าจำเป็นต้องมีกลยุทธ์การจัดการหนี้ที่ดีกว่านี้ ในที่สุด 16 ประเทศในละตินอเมริกาและประเทศอื่น ๆ อีก 11 ประเทศจำเป็นต้องปรับโครงสร้างหนี้ของตน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์การเงินระหว่างประเทศ

วิกฤตต้มยำกุ้งในปี 1997 (the Asian Financial Crisis)

4.png
การเติบโตของ GDP ในช่วงวิกฤตหนี้เอเชีย

วิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชียเมื่อปี 1997 หรือที่เรียกว่า วิกฤตต้มยำกุ้ง ได้สร้างปัญหาใหญ่ให้กับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม 1998 วิกฤตงการเงินของไทยได้แพร่กระจายไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างรวดเร็ว เช่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย และในที่สุดก็ไปถึงเกาหลีใต้ในเดือนตุลาคม การเดิมพันของจอร์จ โซรอสต่อค่าเงินบาทของไทยถือเป็นปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญ โดยใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อแลกเปลี่ยนเงินบาทเป็นเงินดอลลาร์ที่ราคา 26 บาทต่อดอลลาร์ เมื่อค่าเงินบาทร่วงจาก 25 บาทต่อดอลลาร์ กลายเป็น 54 บาทต่อดอลลาร์ หลังจากมีการลอยตัวอัตราแลกเปลี่ยนในเดือนกรกฎาคม 1997 โซรอสได้ซื้อเงิน 1 พันล้านดอลลาร์ด้วยอัตราใหม่ และจากนั้นก็ใช้สัญญาของเขาเพื่อแปลงเงินจำนวนดังกล่าวเป็น 2 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลให้เงินลงทุนของเขาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า

5.png
ภูมิศาสตร์ของวิกฤตเอเชีย

ระหว่างที่เกิดความวุ่นวายนั้น บางประเทศที่มีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและมีเงินออมสูง เช่น ฮ่องกง ก็สามารถปกป้องสกุลเงินของตนเอาไว้ได้ ค่าเงินของฮ่องกงได้ถูกตรึงไว้ที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยใช้ระบบที่แข็งแกร่งซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเงินสำรองจำนวนมหาศาล สิ่งนี้ช่วยปกป้องสกุลเงินจากหลากหลายความพยายามที่จะทำให้มันไม่เสถียร วิกฤติครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของนโยบายเศรษฐกิจอันชาญฉลาดและการมีเงินออมจำนวนมหาศาล นี่เป็นบทเรียนที่มีประโยชนต่ออนาคตของระบบการเงินโลก

วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ / ซับไพรม์ในปี 2008 (The Great Recession)

6.png
การเติบโตของ GDP ในช่วงเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่

วิกฤตตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐอเมริกาในปี 2008 ได้นำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ทั่วโลกที่เรียกว่า วิกฤตเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ หรือที่เรียกอีกอย่างว่า “วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์” และ “วิกฤติสินเชื่อซับไพรม์” ปัญหานี้ได้เกิดขึ้นเนื่องจากแนวทางการให้สินเชื่อที่เป็นอันตราย: หลักทรัพย์ที่รองรับด้วยสินเชื่อจำนองมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และไม่มีกฎเกณฑ์ใด ๆ ที่จะควบคุมการเติบโตดังกล่าว วิกฤตดังกล่าวได้แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อบริษัทการเงินขนาดใหญ่ และสร้างความหวาดกลัวให้กับตลาดหลายแห่งทั่วโลก

7.png
ดัชนี US500 ร่วงลง 56% ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่

ตลาดที่อยู่อาศัยที่เฟื่องฟูส่งผลให้การกู้ยืมเงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยของครอบครัวชาวอเมริกันได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก ระหว่างปี 1998 ถึง 2006 หนี้สินจำนองได้เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 61 เป็นร้อยละ 97 ของผลผลิตทางเศรษฐกิจของประเทศ เมื่อตลาดที่อยู่อาศัยได้พังทลายลง ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดวิกฤตการเงินเท่านั้น แต่ยังได้ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำเป็นวงกว้างอีกด้วย ภาคที่อยู่อาศัยได้แตะถึงจุดสูงสุดในปี 2006 ขณะที่มีคนจำนวนมากที่มีงานทำสร้างบ้านใหม่

ตามข้อมูลของสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้เริ่มอย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคม 2007 ในตอนแรกปัญหาไม่เลวร้ายมากนัก แต่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปี 2008 ที่ตลาดการเงินเกิดปัญหาใหญ่ ปัญหาเศรษฐกิจก็ได้เลวร้ายลงอย่างหนัก ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่เกิดขึ้นได้ทำให้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 4.3 จากจุดสูงสุดจนถึงจุดต่ำสุด นั่นทำให้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่เป็นภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง มันได้กินเวลานานถึงสิบแปดเดือน ซึ่งทำให้มันเป็นภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ยาวนานที่สุด อัตราการว่างงานได้เพิ่มขึ้นจากต่ำกว่า 5% เป็น 10%

วิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาในปี 2020 (COVID-19)

8.png
อัตราการว่างงานในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ในปี 2020 โลกเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลก ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพและเศรษฐกิจในเวลาเดียวกัน ธุรกิจได้ปิดตัวลง ห่วงโซ่อุปทานได้หยุดชะงัก และผู้คนรู้สึกมั่นใจน้อยลงในการใช้จ่ายเงิน ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลงอย่างมาก รัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินการอย่างแข็งกร้าวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจแย่ลงไปอีก วิกฤติครั้งนี้เตือนให้เราเห็นว่าโลกในปัจจุบันมีความเชื่อมโยงกันมากเพียงใด และแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจโลกมีความละเอียดอ่อนเพียงใด และการเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาที่ไม่คาดคิดนั้นสำคัญมากเพียงใด

9.png
GDP ที่แท้จริงในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19

สัญญาณแรกของปัญหาเศรษฐกิจได้เริ่มต้นขึ้นในตอนที่ตลาดหุ้นตกในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม 2020 ส่งผลให้ดัชนีหุ้นหลักลดลง 20-30 เปอร์เซ็นต์ สิ่งนี้ได้นำไปสู่การเลิกจ้างที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในหลายประเทศ และระบบช่วยเหลือผู้ว่างงานที่ไม่สามารถรองรับผู้สมัครจำนวนมากได้ ภายในเดือนตุลาคม มีผู้ยื่นขอสวัสดิการผู้ว่างงานในสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียวมากกว่า 10 ล้านคน ขณะที่องค์การสหประชาชาติ (UN) ได้คาดการณ์ว่าจะเกิดวิกฤตการว่างงานขึ้นทั่วโลก การสูญเสียกำลังผลิตที่ได้คาดการณ์ไว้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2020 นั้นเท่ากับจำนวนพนักงานประจำ 195 ล้านคน ส่วนประเทศกำลังพัฒนาก็ต้องเผชิญกับความท้าทายเพิ่มเติม โดยผู้คนที่ทำงานในต่างประเทศนั้นส่งเงินกลับบ้านน้อยลง และผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ไม่สามารถหาอาหารได้มากพอเนื่องจากผลกระทบของโรคระบาด

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

วิกฤตการเงินโลกคืออะไร?

วิกฤตการเงินระดับโลกเป็นปัญหาเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อหลายประเทศและหลายภูมิภาคในเวลาเดียวกัน มันได้ก่อให้เกิดการหยุดชะงักในตลาดการเงิน เช่น ตลาดหุ้นตกต่ำ ปัญหาทางด้านการธนาคาร และเงินสูญเสียมูลค่า (เงินเฟ้อ) วิกฤตเหล่านี้มักส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลง ผู้คนจำนวนมากต้องตกงาน และเกิดปัญหาด้านการค้าและการลงทุน

วิกฤตการเงินครั้งใดที่รุนแรงที่สุดในโลก?

ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในยุค 1930 ถือเป็นวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก มันได้เริ่มต้นจากเหตุการณ์ตลาดหุ้นตกในปี 1929 ซึ่งทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจทั่วโลกเป็นเวลาหลายปี ผู้คนจำนวนมากต้องตกงาน ธนาคารล้มละลาย และมีการผลิตสินค้าน้อยลง เรื่องนี้ได้ส่งผลกระทบต่อประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ส่งผลให้เกิดปัญหาใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจและสังคม

ประเทศใดบ้างที่ตกอยู่ในวิกฤตการเงิน?

ปัญหาทางการเงินสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศใหญ่หรือประเทศที่พัฒนาแล้วเพียงใดก็ตาม ตลอดประวัติศาสตร์ หลายประเทศต้องเผชิญกับวิกฤตการเงินเนื่องจากหนี้มากเกินไป ฟองสบู่เศรษฐกิจแตก หรือแรงกระแทกกะทันหันจากภายนอก ตัวอย่างล่าสุด ได้แก่ กรีซในช่วงวิกฤติหนี้ยุโรป อาร์เจนตินาในช่วงที่เกิดปัญหาหนี้สิน และเวเนซุเอลาที่ต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อสูงและปัญหาเศรษฐกิจ

สรุป

ประวัติศาสตร์ของวิกฤตการเงินแสดงให้เราเห็นว่าเศรษฐกิจโลกมีความละเอียดอ่อนเพียงใด และประเทศต่าง ๆ เชื่อมโยงกันอย่างไรในปัจจุบัน นับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่จนถึงการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ของโควิด-19 วิกฤตใหญ่แต่ละครั้งล้วนส่งผลกระทบระยะยาวต่อชุมชนและเศรษฐกิจ โดยเปลี่ยนแปลงแนวทางของประเทศต่าง ๆ และปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานของการเงินทั่วโลก ในช่วงเวลาของวิกฤต การซื้อขายฟอเร็กซ์ได้กลายเป็นสิ่งสำคัญในการรับมือกับความไม่แน่นอน มันให้โอกาสแก่นักลงทุนในการปกป้องตนเองจากความเสี่ยงและสร้างรายได้จากการเปลี่ยนแปลงของตลาด เมื่อมองย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่ท้าทายเหล่านี้ ก็เป็นที่ชัดเจนว่าความสามารถในการฟื้นตัว ปรับตัว และวางแผนล่วงหน้า ถือเป็นคุณสมบัติที่สำคัญในการป้องกันวิกฤตในอนาคตและสร้างระบบการเงินที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

แบ่งปันกับเพื่อน ๆ:

เปิดบัญชี FBS

โดยการลงทะเบียน คุณได้ยอมรับเงื่อนไขของ ข้อตกลงลูกค้า FBS และ นโยบายความเป็นส่วนตัว FBS และยอมรับความเสี่ยงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการซื้อขายในตลาดการเงินระดับโลก

FBS ณ สื่อสังคมออนไลน์

iconhover iconiconhover iconiconhover iconiconhover icon

ติดต่อเรา

iconhover iconiconhover iconiconhover iconiconhover icon
store iconstore icon
ดาวน์โหลดได้ที่
App Store
store iconstore icon
ดาวน์โหลดได้ที่
Google Play

การซื้อขาย

บริษัท

เกี่ยวกับ FBS

เอกสารทางกฎหมาย

ข่าวเกี่ยวกับบริษัท

สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี้

ศูนย์ช่วยเหลือ

โปรแกรมพันธมิตร

เว็บไซต์นี้ดำเนินการโดย FBS Markets Inc. หมายเลขจดทะเบียน 000001317 ซึ่ง FBS Markets Inc. ได้รับการจดทะเบียนโดย Financial Services Commission ภายใต้พระราชบัญญัติอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ฯ 2021 (Securities Industry Act 2021) ใบอนุญาตเลขที่ 000102/31 ที่อยู่สำนักงาน: 9725, Fabers Road Extension, Unit 1, Belize City, Belize

โดย FBS Markets Inc. ไม่ได้ให้บริการทางการเงินแก่ผู้อยู่อาศัยในเขตอำนาจศาลบางแห่ง ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง: สหรัฐอเมริกา, สหภาพยุโรป, สหราชอาณาจักร, อิสราเอล, สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน, เมียนมาร์

ธุรกรรมการชำระเงินได้รับการจัดการโดย HDC Technologies Ltd.; Registration No. HE 370778; Legal address: Arch. Makariou III & Vyronos, P. Lordos Center, Block B, Office 203, Limassol, Cyprus ที่อยู่เพิ่มเติม: Office 267, Irene Court, Corner Rigenas and 28th October street, Agia Triada, 3035, Limassol, Cyprus

เบอร์ติดต่อ: +357 22 010970 เบอร์ติดต่อเพิ่มเติม: +501 611 0594

สำหรับความร่วมมือ กรุณาติดต่อเราผ่าน [email protected]

คำเตือนเรื่องความเสี่ยง: ก่อนที่คุณจะเริ่มทำการซื้อขาย คุณควรเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับตลาดสกุลเงินและการซื้อขายโดยใช้มาร์จิ้นอย่างถ่องแท้ และคุณควรตระหนักถึงระดับประสบการณ์ของตนเอง

การคัดลอก การทำสำเนา การเผยแพร่ รวมถึงแหล่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตของเนื้อหาใดๆ จากเว็บไซต์นี้สามารถดำเนินการได้เฉพาะเมื่อได้รับการอนุญาตที่เป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น

ข้อมูลบนเว็บไซต์นี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน การชี้แนะ หรือการชักชวนให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการลงทุนใด ๆ ทั้งสิ้น